พลทัต ลาภบิดร
จำนวนข้อความ : 2 Join date : 22/06/2016
| เรื่อง: เพลงไทยเดิม โดย ด.ช.พลทัต ลาภบิดร เลขที่ 8 Wed Jun 22, 2016 1:01 pm | |
| เพลงโหมโรงไอยเรศ: ปี่พาทย์ไม้แข็ง ประวัติเพลงโหมโรงเพลงโหมโรง คือ เพลงที่ใช้บรรเลงเป็นอันดับแรกหรือเรียกว่า “เบิกโรง” ก่อนการแสดงมหรสพต่าง ๆ เพื่อประกาศให้ผู้ชมทราบว่าการแสดงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นอกจากนั้นการบรรเลงเพลงโหมโรงยังมีประโยชน์ ดังนี้[list="margin: 0px 0px 1.5em; padding: 0px 0px 0px 1.6em; border: 0px; border-image-source: initial; border-image-slice: initial; border-image-width: initial; border-image-outset: initial; border-image-repeat: initial; color: rgb(51, 51, 51); font-family: 'Helvetica Neue', Helvetica, Arial, sans-serif; line-height: 20px; text-align: start; background-image: initial; background-attachment: initial; background-color: transparent; background-size: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-position: initial; background-repeat: initial;"] [*]เพื่ออัญเชิญเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงให้มาชุมนุมในงานเพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นการแสดงความเคารพต่อครูดนตรีไทยเพื่อให้เกิดกำลังใจในการที่จะบรรเลงหรือร้อง เล่น ต่อไป [*] เพื่ออุ่นเครื่องให้นักดนตรี พร้อมถือโอกาสปรับแต่งเครื่องดนตรีในการบรรเลงบทเพลงต่อ ๆ ไป [*]เพื่อให้นักร้องได้ถือโอกาสเทียบเสียงเพื่อเตรียมขึ้นเสียงร้องต่อได้ทันที โดยไม่ต้องรอนักดนตรีให้เสียง [*]เป็นการประกาศบอกให้ผู้ชมได้ทราบว่าการแสดงต่อไปนั้น เป็นการแสดงชนิดใด [/list] ชนิดของเพลงโหมโรง
- เพลงชุด เป็นเพลงโหมโรงที่โบราณาจารย์ได้นำเพลงหน้าพาทย์หลายๆ เพลงมาเรียบเรียงไว้และบรรเลงต่อเนื่องกัน แต่ละเพลงมีความหมายในทางศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อการอัญเชิญเทพยดาต่าง ๆ เพลงโหมโรงชนิดนี้ เป็นเพลงโหมโรง “สำหรับวงปี่พาทย์เท่านั้น” ใช้บรรเลงในงานพิธีมงคล และมหรสพต่าง ๆ เช่น โขน ละคร หนังใหญ่ และลิเก โหมโรงชนิดนี้ ได้แก่ โหมโรงเช้า โหมโรงกลางวัน และโหมโรงเย็น
- โหมโรงเช้า ใช้สำหรับการทำบุญเลี้ยงพระมี 5 เพลงคือ สาธุการ เหาะ รัว กลม และชำนาญ
- โหมโรงกลางวัน เกิดขึ้นจากประเพณีการแสดงมหรสพในสมัยโบราณ ถ้าเป็นการแสดงกลางวันซึ่งได้เริ่มแสดงตั้งแต่เช้ามาแล้ว เมื่อถึงเวลาเที่ยงจะต้องหยุดพักกลางวันเพื่อให้ตัวละครและผู้บรรเลงดนตรีตลอดจนผู้ร่วมงานการแสดงได้หยุดพัก และรับประทานอาหารกลางวัน โหมโรงกลางวัน ประกอบด้วยเพลง กราวใน เชิด ชุบ ลา กระบองตัน เสมอข้ามสมุทร เชิดฉาน ปลูกต้นไม้ ชายเรือ รุกร้น แผละ เหาะ โล้ และวา
- โหมโรงเย็น ใช้ในพิธีที่นิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์มี 13 เพลงคือสาธุการ ตระ รัวสามลา ต้นเข้าม่าน เข้าม่าน ปฐม ลา เสมอ รัว เชิด กลม ชำนาญ กราวใน ต้นเข้าม่าน และลา
- โหมโรงเทศน์ ใช้ในพิธีการแสดงพระธรรมเทศนา มี 6 เพลงคือสาธุการ กราวใน เสมอ เชิด ชุบ และลา
โหมโรงเพลงชุดชนิดอื่น ๆ (โหมโรงโขน และละคร)ใช้บรรเลงเพื่อประกาศว่าที่นี่จะมีการแสดงโขนหรือละคร รวมถึงอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงด้วย โหมโรงโขนและละครแบ่งได้ดังนี้ โหมโรงละครเช้า, เย็น ใช้เพลงดังนี้ ตระ รัวสามลา เข้าม่าน ปฐม ลา เสมอ รัว เชิด กลม ชำนาญ กราวใน และลา โหมโรงละครกลางวัน ใช้เพลงดังนี้ กราวในสามท่อน เสมอข้ามสมุทร รัวสามลา เชิด ชุบ ลา กระบองกัณฐ์ ตะคุกรุกลน เพลงเรือ เหาะเรือ และรัว โหมโรงโขนเช้า มีทั้งหมด 9 เพลงดังนี้ ตระสันนิบาต เข้าม่านเที่ยวลา เสมอรัว เชิด กลม ชำนาญ กราวใน ตะคุกรุกลนและกราวรำ โหมโรงโขนกลางวัน ใช้เพลงดังนี้ กราวใน เสมอข้ามสมุทร เชิด ชุบ ตระบองกัน ตะคุกรุกล้น ใช้เรือ ปลูกต้นไม้ คุกพาทย์ พันพิราพ เสียน เชิด ปฐม รัว และบาทสกุณี โหมโรงโขนเย็น ใช้เพลงดังนี้ ตระสันนิบาต เข้าม่าน ลา กราวใน เชิดและกราวรำ โหมโรงเสภา ใช้ประกอบการขับเสภา โดยบรรเลงสลับกับการขับเสภา โหมโรงชุดนี้มี 2 เพลง คือ รัวประลองเสภา ใช้เพืออุ่นเครื่องนักดนตรี ก่อนที่จะขับเสภาในลำดับต่อไป เพลงโหมโรงเสภา เป็นเพลงเดี่ยวนำมาบรรเลงเป็นชุดสั้น ๆ เช่น อัฐมบาท จุฬามณี แขกมอญ พม่าวัด ฯลฯ โหมโรงมโหรี ใช้เหมือนกับโหมโรงเสภา แต่จะไม่มีเพลงรัวประลองขึ้นต้นเท่านั้น โหมโรงหนังใหญ่ ใช้เพลงชุดโหมโรงเย็น แต่ใช้ปี่กลางบรรเลง เรียกทางที่เล่นว่า ทางกลาง เพลงเดี่ยว หรือ 2 เพลงต่อเนื่องกัน เรียกว่าโหมโรงเสภา หรือโหมโรงวา เหตุที่เรียกว่า โหมโรงเสภา เนื่องจากในสมัยก่อน เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงก่อนที่จะมีการเล่นเสภา หรือการร้องส่ง ซึ่งแต่เดิมทีเดียวการโหมโรงก่อนการเล่นเสภาเป็นเพลงชุด ต่อมาเห็นว่านานเกินไปจึงตัดเหลือแต่เพลงวา ซึ่งเป็นเพลงบรรเลงต่อจากชุดโหมโรงก่อนจะเริ่มเล่นเสภา หรือการแสดงมหรสพต่าง ๆ ทุกครั้ง จึงได้กลายเป็นประเพณีสืบต่อกันมา โหมโรงเสภา คือ เพลงโหมโรงที่ประดิษฐ์ขึ้นตามแบบของเพลงวา และนำทำนองท่อนจบของเพลงวามาใช้ เพลงโหมโรงเสภา หรือ โหมโรงวา เป็นเพลงโหมโรง “สำหรับวงดนตรีไทยทุกประเภท” ทั้งวงเครื่องสาย วงปี่พาทย์ และวงมโหรี มีผู้แต่งเพลงโหมโรงชนิดนี้เอาไว้เป็นจำนวนมาก โหมโรงไอยเรศ เป็นเพลงโหมโรงเสภา หรือ โหมโรงวา ที่ได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยมที่สุดทั้งท่วงท่าทำนอง และวิธีดำเนินลีลาของ เพลง จึงเป็นที่นิยมนำมาบรรเลงกันอย่างแพร่หลาย
[size=21]ผู้แต่งสหรัฐ จันทร์เฉลิม [/size] [size=21] [/size]
เสียงจะเข้เกรี้ยวกราดฉวัดเฉวียนอยู่บนเวที นิ้วเล็กๆแต่แฝงไปด้วยพละกำลังมหาศาลนั้น เคลื่อนไหวเวียนวนไปมาอย่างรวดเร็วบนสายจากปลายถึงต้น ไม้ดีดสะบัดสะบิ้งรำร่อนฟ้อนฟายกระทบสายกรายกรีดปานจักรผันเห็นเพียงภาพเลือนลาง ลมพัดมาวู่วู่… แสงเทียนวับวามจับต้องตัวจะเข้ดั่งฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วทอดเงาสลัวทาบทับผนังห้องประชุมนั้น ความมืดสนิทรอบด้านไม่อาจบดบังพลังไฟที่คุโชนอยู่ในตัวของเขาได้ และทุกลมหายใจของคนดูในห้องล้วนจดจ่ออยู่กับแทบทุกเม็ดวลีของบทเพลงเดี่ยวจะเข้
สิ้นเสียงรัวไม้ดีดสุดท้าย เสียงปรบมือกราวใหญ่ ไฟในหอประชุมสว่างไสว รอยยิ้มของผู้ชมถ้วนหน้าบ่งบอกถึงความอิ่มเอมอารมณ์ ที่ได้รับจากบทเพลงในช่วงที่ผ่านมา และในค่ำคืนวันนั้น ๖ มีนาคม ๒๕๔๖ ทางวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ก็ได้สร้างอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ขึ้นมา นั่นคือผลสำเร็จของการผลิตมหาบัณฑิตทางดนตรีสาขาการแสดงเป็นครั้งแรก ของหลักสูตรและสมควรนับเป็นมหาบัณฑิตด้านการแสดงดนตรีคนแรก ของประเทศไทยด้วยซ้ำ
หากนับย้อนไปที่เส้นทางของการเปิดหลักสูตรการศึกษาดนตรีในระดับปริญญาโท ของประเทศไทย ซึ่งเดินทางมาในสายวิชาการด้านอื่นๆที่นอกเหนือไปจากนี้
ณ วันนี้ อาจารย์สหรัฐ จันทร์เฉลิม แรงบันดาลใจของคนจะเข้รุ่นหลังอีกมากมายในแผ่นดินไทย คือความภาคภูมิใจและความยินดีของทุกคนที่เกี่ยวข้องในวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ในฐานะเลือดใหม่ของการศึกษาดนตรีไทยในปรัชญาการศึกษาแบบใหม่ และในความเป็นคนรุ่นใหม่ มือจะเข้ดาวรุ่งของวงการดนตรีไทย ที่เป็นความหวังของการสืบสาน และพัฒนามรดกดนตรีของชาติให้วิวัฒน์ต่อไปในอนาคต
ในอีกด้านหนึ่ง ชื่อเสียงของสหรัฐ จันทร์เฉลิม ในฐานะของนักเปียโนฝีมือด ีที่สามารถถ่ายทอดบทเพลงคลาสสิกตะวันตกได้อย่างมืออาชีพ งามพร้อมทั้งลีลาอารมณ์ ก็เป็นที่ยอมรับกันในสังคมไทยเช่นกัน บทเพลงเปียโนที่ผสมผสาน เทคนิคการบรรเลงขั้นสูงกับความรู้สึกงามอย่างไทยๆ ที่เขาถ่ายทอดออกมาสู่เวทีสาธารณชนหลายต่อหลายเวที คงเป็นข้อยืนยันที่ดีไม่แพ้กับการเป็นครูเปียโนและครูจะเข้ที่มุ่งมั่น ในการสร้างรากฐานวิชาให้กับศิษย์ อย่างจริงจัง ผลงานความเป็นครูดนตรีที่ปั้นลูกศิษย์ ให้ได้ดีนั้นโดดเด่น ไม่แพ้ความเป็นนักประพันธ์เพลงร่วมสมัย สำหรับจะเข้ที่มีแนวทางเป็นเอกลักษณ์ของตนได้อย่างน่าทึ่ง
กว่าจะถึงวันนี้ กว่าจะสั่งสมบ่มเพาะพลังในการเล่นจะเข้มาจนถึงบัดนี้ เส้นทางสัญจรร่อนเร่บนยุทธจักรนักจะเข้ของคนหนุ่มคนนี้ได้ผ่านเรื่องราวต่างๆมากมาย ทั้งอุปสรรคขวากหนาม ดอกไม้ ก้อนอิฐ เกียรติยศ ความรัก ความชัง บาดแผล และรอยยิ้มในชีวิตมาไม่น้อยทีเดียว
บทสนทนาต่อไปนี้ เป็นเพียงบางเศษเสี้ยวความคิดของเขาที่วารสารเพลงดนตรี นำมากำนัลแก่ท่านผู้อ่านเป็นกรณีพิเศษด้วยความยินดียิ่ง
สหรัฐ เป็นคนฝั่งธน บ้านอยู่บางยี่ขัน เกิดเมื่อ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เรื่องของตระกูลจริงๆแล้วผสมกันหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์เหลือเกิน ที่รู้ๆก็คือทางคุณแม่เป็นคนจีนแท้ๆ ส่วนทางฝ่ายคุณพ่อเป็นลูกครึ่งไทยจีนเชื้อสายญี่ปุ่น คุณปู่ได้อพยพจากกรุงเทพฯไปอยู่ปราจีนบุรีแล้วกลับเข้ามากรุงเทพฯใหม่ คุณปู่ทวดคือ ขุนศรี ทำหนังสือ เป็นครูเครื่องสายเก่า และเป็นเพื่อนสนิทกับหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
| |
|
Admin Admin
จำนวนข้อความ : 519 Join date : 04/06/2016
| เรื่อง: Re: เพลงไทยเดิม โดย ด.ช.พลทัต ลาภบิดร เลขที่ 8 Thu Jun 23, 2016 10:09 am | |
| | |
|