ดนตรีแจ๊ส (Jazz Music)
ความหมายของคำว่า Jazzความหมายของคำว่าแจ๊ส เคยมีผู้พยายามนิยามความหมายไว้หลายแบบ ซึ่งยากต่อการนิยาม ตามความหมายของคำว่าแจ๊สในในพจนานุกรมไทยวัฒนาพานิช โดย วิทูลย์ สมบูรณ์ หมายถึง ดนตรีเต้นรำเล่นลัดจังหวะ, เล่นดนตรีชนิดนี้, เต้นรำ เข้ากับดนตรีชนิดนี้ สำหรับพจนานุกรมฉบับอ๊อกฟอร์ดให้คำจำกัดความไว้ว่า "เป็นดนตรีที่ถือกำเนิดจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันซึ่งมีจังหวะชัดเจนที่เล่นอย่างอิสระโดยการประสานกันขึ้นเองของนักดนตรีในขณะที่กำลังบรรเลง"
ดุ๊ก เอลลิงตันเคยพูดไว้ว่า "แจ๊สก็คือดนตรีทั้งหมดรวมกัน" ซึ่งก็มีนักวิจารณ์พูดว่า เอลลิงตันนั้นจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ทำดนตรีแจ๊ส เพื่อนของเอลลิงตันอีกคนชื่อ เอิร์ล ไฮนส์ กล่าวไว้ว่า มันคือ "ดนตรีเปลี่ยนรูป" ส่วนเบน แรตลิฟฟ์ นักวิจารณ์จากนิวยอร์กไทม์สเคยกล่าวไว้ว่า "ตัวอย่างที่ดีที่จะอธิบายขั้นตอนของแจ๊สมันไม่มีเลย"
ประวัติของดนตรี Jazz
ดนตรีแจ๊สมีต้นกำเนิดราวทศวรรษ 1920 โดยวงดนดรีวงแรกที่นำสำเนียงแจ๊สมาสู่ผู้ฟังหมู่มากคือ ดิ ออริจินัล ดิกซีแลนด์ แจ๊ส แบนด์ (The Original Dixieland Jazz Band: ODJB) ด้วยจังหวะเต้นรำที่แปลกใหม่ ทำให้โอดีเจบีเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมาก พร้อมกับให้กำเนิดคำว่า "แจ๊ส" ตามชื่อวงดนตรี โอดีเจบีสามารถขายแผ่นได้ถึงล้านแผ่น
รากลึกของแจ๊สนั้นมีมาจากเพลงบลูส์ (Blues)คนผิวดำที่เล่นเพลงบลูส์เหล่านี้เรียนรู้ดนตรีจากการฟังเป็นพื้นฐาน จึงเล่นดนตรีแบบถูกบ้างผิดบ้าง เพราะจำมาไม่ครบถ้วน มีการขยายความด้วยความพึงพอใจของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งกลายเป็นที่มาของคีตปฏิภาณ (Improvisation) คือ การแต่งทำนองเพลงขึ้นมาใหม่ สดๆ โดยไม่ได้เตรียมตัวมาล่วงหน้า หรือการโซโล่แบบด้นสด ในภายหลังดนตรีแร็กไทม์(Ragtime) ก็เชื่อว่ามีต้นกำเนิดคล้ายๆ กันคือ เกิดจากดนตรียุโรปผสมกับจังหวะขัดของแอฟริกัน บลูส์และแร็กไทม์นี่เองที่เป็นรากของดนตรีแจ๊สในเวลาต่อมา
เพลงบลูส์เริ่มได้รับความนิยมในช่วงเวลาเดียวกันกับแร็กไทม์ ปลายๆ ทศวรรษ 1910 เพลงบลูส์และแร็กไทม์ถูกผสมผสานจนกลมกลืนโดย บัดดี โบลเดน (Charles Joseph 'Buddy' Bolden) เป็นผู้ริเริ่ม หากแต่เวลานั้นยังไม่มีการประดิษฐ์คำว่าแจ๊สขึ้นมา และเรียกดนตรีเหล่านี้รวมๆ กันว่า "ฮ็อต มิวสิก" (Hot Music) จนกระทั่งโอดีเจบีโด่งดัง คำว่า แจ๊ส จึงเป็นคำที่ใช้เรียกขานกันทั่ว แจ๊สในยุคแรกนี้เรียกกันว่าเป็น แจ๊สดั้งเดิม หรือ นิวออร์ลีนส์แจ๊ส
พัฒนาการของดนตรีแจ๊ส
ทศวรรษที่ 1920 ละ 1930สหรัฐเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทางการสั่งปิดสถานเริงรมณ์ในนิวออร์ลีนส์ ทำให้นักดนตรีส่วนใหญ่เดินทางมาหากินในชิคาโก นิวยอร์ก และ ลอสแอนเจลิส ทั้งสามเมืองจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะนักดนตรีแจ๊สในช่วงนั้น ชิคาโกดูจะเป็นเมืองที่มีความก้าวหน้าทางดนตรีแจ็สเหนือกว่าอีกสองเมือง เพราะมีนักดนตรีมาทำงานมาก ชิคาโกเป็นเมืองที่ทำให้ หลุยส์ อาร์มสตรอง (Louis Armstrong) เป็นที่รู้จัก และกลายเป็นนักดนตรี นักร้องแจ๊สชื่อก้องโลกในเวลาต่อมา ในด้านการพัฒนา ชิคาโกมีดนตรีแจ๊สที่สืบสายมาจากนิวออร์ลีนส์แต่มีลักษณะเฉพาะตัว มีการทดลองจัดวงในแบบของตัวเอง เริ่มเอาเครื่องดนตรีใหม่ๆ เช่น แซ็กโซโฟนมาใช้รวมกับ คอร์เน็ต ทรัมเป็ต มีการทดลองแนวดนตรีใหม่ๆ เช่น การเล่นเปียโนแบบสไตรด์ (Stride piano) ของเจมส์ จอห์นสัน (James P. Johnson) ซึ่งมีพื้นฐานจากแร็กไทม์ การทดลองลากโน้ตให้ยาวจนผู้ฟังคาดเดาได้ยากของอาร์มสตรอง และการปรับแพทเทิร์นของจังหวะกันใหม่เป็น Chicago Shuffle
ส่วนนิวยอร์กรับหน้าที่เป็นศูนย์กลางของแจ๊สในยุคปลายทศวรรษ 1920 แทนชิคาโก ดนตรีแจ๊สในนิวยอร์กพัฒนาเพื่อเป็นดนตรีเต้นรำให้ความสนุกสนานบันเทิง และเป็นที่มาของ สวิง (Swing) และ บิ๊กแบนด์ (Big Band)
สวิงเป็นดนตรีที่ก่อให้เกิดการจัดวงแบบใหม่ที่เรียกว่า "บิ๊กแบนด์" ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และองค์ประกอบของวงก็เริ่มลงตัว มีการแบ่งโครงสร้างเครื่องดนตรีเป็นสามส่วนคือ เครื่องทองเหลือง คือ กลุ่มแตรซึ่งมีทรัมเปทและทรอมโบนเป็นหลัก จำนวน3-5 คัน ,เครื่องลมไม้ มีแซกโซโฟนเป็นหลัก จำนวน 3-5 คันและมักมีคลาริเนต ไว้ให้นักแซกโซโฟนเพื่อให้เล่นสลับกันด้วย และเครื่องให้จังหวะ ได้แก่ กลองชุดซึ่งมีกลองเพิ่มเติม และกระดึงกับฉาบเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ มีเปียโน สตริงเบส และกีตาร์ ส่วนแบนโจก็จะถูกแทนที่ด้วยเปียโน
ศิลปินที่แจ้งเกิดในยุคนี้เช่น เอลลา ฟิทซ์เจอรัลด์ (Ella Fitzgerald) บิลลี ฮอลิเดย์ (Billy Holiday) และหลุยส์ อาร์มสตรอง จุดเด่นของนักร้องแจ๊สคือการ "สแกต" (Scat) หรือเปล่งเสียง ฮัมเพลง แทนเครื่องดนตรี ซึ่งนับเป็นการแสดงคีตปฏิภาณของนักร้อง
ทศวรรษที่ 1940เพลงสวิงมาถึงจุดอิ่มตัวเมื่อนักดนตรีเริ่มเบื่อหน่ายการจัดวงและการเรียบเรียงที่ค่อนข้างตายตัว จึงเริ่มเกิดการหาแนวทางใหม่ๆ เล่นตามความพอใจหลังการซ้อมหรือเล่นดนตรี หรือเรียกว่า "แจม" (Jam session) ชาร์ลี "เบิร์ด" พาร์คเกอร์ (Charlie "Bird" Parker) นักแซ็กโซโฟน และ ดิซซี่ กิลเลสปี(Dizzy Gillespie) นักทรัมเป็ต เสนอแจ๊สในแนวทางใหม่ขึ้นมา เมื่อทั้งสองร่วมตั้งวงห้าชิ้นและออกอัลบั้มตามแนวทางดังกล่าว คำว่า "บีบ็อพ" (Bebop) "รีบ็อพ" (Rebop) หรือ "บ็อพ" (Bop) ก็กลายเป็นคำติดปาก
คำว่าบีบ็อพเชื่อกันว่ามาจากสแกตของโน้ตสองตัว (การร้องโน้ต2 ตัวเร็วๆ ) บ็อพมีสุ้มเสียง จังหวะ การสอดประสานที่ต่างไปจากสวิงค่อนข้างมาก เช่นจังหวะไม่ได้บังคับเป็น 4/4 เหมือนสวิง ใช้คอร์ดแทน (Alternate chords) ในขณะที่โซโลและการแสดงคีตปฏิภาณยังคงวางบนคอร์ดเดิม
ทศวรรษที่ 1950ไมล์ส เดวิส และ จอห์น โคลเทรน (John Coltrane) ก็มาลงตัวกับท่วงทำนองที่ใช้ฮาร์โมนีของโหมด (Mode) มากกว่า คอร์ด กลายมาเป็น โมดัลแจ๊ส(Modal Jazz) ในเวลาต่อมา โดยมีอัลบั้ม Kind of Blue ของเดวิสในปี 1959 เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของฟรีแจ๊ส การใช้โหมดทำให้นักดนตรีสามารถโซโล หรือแสดงคีตปฏิภาณได้อิสระยิ่งขึ้น เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องคอร์ดเหมือนที่ผ่านมา จึงเกิดสเกลแปลกใหม่มากมาย
ต่อมา ออร์เน็ต โคลแมน (Ornette Coleman) นักแซ็กโซโฟนก็เสนออีกแนวทางหนึ่งที่ให้อิสระยิ่งกว่าโมดัลแจ๊ส คือดนตรีสายฟรีแจ๊ส (Free Jazz) ซึ่งเน้นปฏิสัมพันธ์เป็นแกน อาศัยความรู้สึกและคีตปฏิภาณอย่างหนักหน่วง ซึ่งมีโครงสร้างของเพลงเพียงคร่าวๆ เท่านั้น หลายๆ เพลงไม่มีแม้แต่จังหวะทำนอง ไม่มีห้องดนตรี และมักเน้นจังหวะตบหรือการรักษาความเร็วจังหวะน้อยกว่าแจ๊สยุคก่อนๆ ส่วนเครื่องดำเนินจังหวะ และแนวเบสได้รับการเน้นให้มีอิสระในการบรรเลงมากขึ้น
ดนตรีในแนวฟรีแจ๊สและที่ใกล้เคียงกันในเวลานั้นทั้งหมดเรียกรวมว่า "อวองต์ การ์ด" (Avante Garde) นอกจาก โคลแมนแล้ว ผู้ที่มีชื่อเสียงในฟรีแจ๊ส เช่น อัลเบิร์ต ไอย์เลอร์ (Albert Ayler) ซึ่งเป็นผู้ชักนำให้ โคลเทรนหันมาสนใจฟรีแจ๊สในระยะหลังๆ
ทศวรรษที่ 1970หลังจากช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นยุคที่เพลงร็อก (ร็อกแอนด์โรล) มีอิทธิพลต่อวงการเพลง หลังกำเนิดฟรีแจ๊ส ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ได้เกิดดนตรีแจ๊สอีกแนวที่เรียกว่า ฟิวชัน (Fusion) ซึ่งบ่งชี้ถึงการนำดนตรีสองแนวหรือมากกว่ามาหลอมรวมกัน ซึ่งในช่วงนั้นคือการรวมกันของดนตรีแจ๊สเข้ากับร็อกเป็นหลัก โดยการใช้รูปแบบจังหวะ และสีสันของเพลงร็อก เครื่องดนตรีในวงฟิวชั่นมักประกอบด้วยเครื่องดนตรีสองประเภททั้ง เครื่องดนตรีดั้งเดิม และเครื่องดนตรีไฟฟ้า หรืออีเลคโทรนิค มีกลุ่มเครื่องประกอบจังหวะที่ใหญ่กว่าแจ๊สยุคก่อนๆ และมักมีเครื่องดนตรีต่างชาติอื่นเช่น เครื่องดนตรีจากแอฟริกา ลาตินอเมริกา หรืออินเดีย และอีกสองลักษณะเด่นของฟิวชั่นแจ๊สคือ แนวทำนองของอีเลคโทรนิคเบสและการซ้ำทวนของจังหวะ
ไมล์ส เดวิส นักปฏิวัติดนตรีแจ๊ส ก็ได้หยิบเอาโครงสร้างของร็อกมารวมกับแจ๊ส ทดลองใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้า เครื่องดนตรีประเภทสังเคราะห์เสียง โดยเริ่มจากอัลบั้ม In A Silent Way ก่อนจะมาเป็นอัลบั้ม Bitches Brew ซึ่งเป็นต้นแบบของแนวฟิวชันในเวลาต่อมา
แจ๊สยุคใหม่
ยุคหลังทศวรรษ 1970 ฟิวชันไม่ได้ครอบคลุมเพียงแจ๊ส-ร็อก หากรวมถึงดนตรียุคหลัง เช่น แจ๊ส-รึทึมแอนด์บลูส์ แจ๊ส-ฟังกี้ แจ๊ส-ป๊อป เป็นต้น ฟิวชันยุคหลังนี้มีอิทธิพลกับแนวดนตรีนิวเอจ (New Age) และ เวิลด์ มิวสิก (World Music) ในเวลาต่อมาโดยมีสังกัด ECM และ วินด์แฮม ฮิล (Windham Hill) นักดนตรีฟิวชันที่โด่งดังมีหลายคน เช่น คีธ จาร์เร็ต (Keith Jarrett) แพท เมธินี (Pat Metheny) บิลล์ ฟริเซล (Bill Frisell) โตชิโกะ อะกิโยชิ (Toshiko Akiyoshi) ซาดาโอะ วาตานะเบ (Sadao Watanabe) เป็นต้น
ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 แจ๊สได้รับความนิยมระดับนึงมีการผสมแจ๊สเข้ากับป็อป เรียกป็อปฟิวชัน หรือ สมูธแจ๊ส ประสบความสำเร็จในยอดการเปิดออกอากาศในสถานีวิทยุ นักแซกโซโฟนสมูธแจ๊สอย่าง กรูเวอร์ วอชิงตัน จูเนียร์,เคนนี จี และ นาจี เพลงของพวกเขาเล่นในสถานีวิทยุโดยมักจะทำเพลงร่วมกับเพลงแนว ไควเอ็ดสตรอมในตลาดคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา อย่างเช่นเล่นในเพลงของศิลปินอย่าง อะนิทา เบเกอร์ ,ชากา คาน,อัล จาร์รู และชาเด เป็นต้น
มีความพยายามหาสุ้มเสียงใหม่ๆ จากฟิวชันเหมือนกัน เช่น แอซิดแจ๊ส (Acid Jazz) หรือกรูฟแจ๊ส (Groove Jazz)ซึ่งเป็นผลการผสมระหว่างแจ๊ส โซล ฟังกี้ และฮิปฮอป เช่น จามิโรไคว์ (Jamiroquai) อีกแนวที่ใกล้กับแอซิดแจ๊สคือ นูแจ๊ส (Nu Jazz) หรือ อิเล็กโทรแจ๊ส (Electro-Jazz) ซึ่งเกิดในปลายทศวรรษ 1990 โดยนำเนื้อหนังของแจ๊สมาผสมผสานด้วยดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องสังเคราะห์เสียง เช่น วงอิเล็กโทรนิกา (Electronica)
ตัวอย่างคนดนตรี Jazz หัวก้าวหน้าแห่งยุดปฏิวัติ
ไมล์ส เดวีย์ เดวิส ที่ 3 (อังกฤษ: Miles Dewey Davis III) หรือ ไมล์ส เดวิส นักทรัมเปต นักแต่งเพลง และหัวหน้าวงดนตรีแจ๊สชาวอเมริกัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักดนตรีที่มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 เป็นผู้ที่พัฒนาการเล่นดนตรีแจ๊สแนวทางใหม่หลายแนว โดยเป็นแถวหน้าในการทดลองดนตรีแนวคูลแจ๊ส ฮาร์ดบ็อพ ฟรีแจ๊สและฟิวชันแจ๊ส มีนักดนตรีแจ๊สคนสำคัญหลายคนได้ร่วมงานกับวงดนตรีของเขา เช่น จอห์น โคลเทรน เฮอร์บี แฮนค็อก บิล อีแวนส์ ชิค โคเรีย จอห์น แมคลาฟลิน จูเลียน แอดเดอร์ลีย์ คีธ จาร์เรต
ไมล์ส เดวิส ได้รับการบรรจุชื่อไว้ในหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรล เมื่อปี ค.ศ. 2006 ผลงานที่มีชื่อเสียงและมียอดขายสูงสุด คือชุด Kind of Blue ในปี ค.ศ. 1959 ที่ทดลองเปลี่ยนแนวทางการเล่นดนตรีจากแนวฮาร์ดบ็อพในอัลบั้มก่อนหน้า เป็นแนวทางใหม่ จนถึงปัจจุบัน ได้รับการรับรองยอดขาย 4 ล้านแผ่นโดย RIAA เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2008 และได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารโรลลิงสโตน ติดอันดับ 12 จาก 500 อัลบั้มยอดเยี่ยมตลอดกาล จัดอันดับเมื่อปี ค.ศ. 2003
อาร์มันโด แอนโทนี "ชิค" คอเรีย (อังกฤษ: Armando Anthony "Chick" Corea) นักแต่งเพลง และนักเปียโนแจ๊สชาวอเมริกัน มีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกดนตรีแนวฟิวชันแจ๊ส โดยเป็นสมาชิกร่วมวงดนตรีของไมล์ส เดวิส ช่วงทศวรรษ 1960 และตั้งวงดนตรีชื่อ Return to Forever ช่วงปี 1972-1977
ชิค คอเรียเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีทั้งสิ้น 51 รางวัล ได้รับ 15 รางวัล อัลบัมชื่อ Now He Sings, Now He Sobs ในปี 1968 ของเขาได้รับการบรรจุไว้ในหอเกียรติยศของรางวัลแกรมมีในปี ค.ศ. 1999
จอห์น วิลเลียม "เทรน" โคลเทรน (23 กันยายน ค.ศ. 1926 - 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1967) นักแซกโซโฟน นักแต่งเพลง และหัวหน้าวงดนตรีแจ๊ซชาวอเมริกัน มีชื่อเสียงในฐานะนักดนตรีแนวบีบ็อพ ฮาร์ดบ็อพ ต่อมาได้ร่วมวงกับไมล์ส เดวิส และทีโลเนียส มังค์ เป็นแนวหน้าในการพัฒนาดนตรีในแนวฟรีแจ๊ซ
จอห์น โคลเทรนได้การยอมรับว่าเป็นนักเทเนอร์แซกโซโฟนคนสำคัญคนหนึ่งของวงการดนตรีแจ๊ซ ที่มีอิทธิพลต่อนักดนตรีรุ่นหลังเป็นจำนวนมาก จนได้รับการยกย่องในการประกาศผลรางวัลพูลิตเซอร์ ประจำปี 2007 สำหรับ "masterful improvisation, supreme musicianship and iconic centrality to the history of jazz."
จอห์น โคลเทรนเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 40 ปี จากโรคมะเร็งตับ ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1967
เฮอร์เบิร์ต "เฮอร์บี" เจฟฟรีย์ แฮนค็อก นักแต่งเพลงและนักเปียโนแจ๊สชาวอเมริกัน เป็นนักดนตรีที่ผสมผสานดนตรีแบบฟังก์และโซล เข้ากับวิธีการเล่นด้นสดแบบดนตรีแจ๊ส และบลูส์
เฮอร์บี แฮนค็อกเคยเป็นสมาชิกวงควินเท็ทชุดที่สองของไมล์ส เดวิส เป็นนักดนตรีคนแรกๆ ที่นำเครื่องซินธีไซเซอร์มาใช้กับดนตรีแจ๊ส โดยเฉพาะในแนวโพสต์บ็อพ ในปี 1972 แฮนค็อกตั้งวงดนตรีแนวฟังก์เป็นของตัวเอง ชื่อวง "The Headhunters" ต่อมายังมีผลงานร่วมกับอดีตสมาชิกของวงควินเท็ทของไมล์ส คือ เฟรดดี ฮับบาร์ด (ทรัมเปต) เวย์น ชอตเตอร์ (แซกโซโฟน) รอน คาร์เตอร์ (เบส) และโทนี วิลเลียมส์ (กลอง) ผลิตผลงานออกมาอีกสองชุดในปี 1976 และ 1977 ใช้ชื่อวงว่า "V.S.O.P. Quintet" ปัจจุบันแฮนค็อกยังมีผลงานร่วมกับศิลปินรุ่นหลังเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น คานยี เวสต์ จอช โกรแบน นอราห์ โจนส์
วิลเลียม "บิล" จอห์น อีแวนส์ หรือ บิล อีแวนส์ นักเปียโนแจ๊สชาวอเมริกัน เป็นนักดนตรีแจ๊สคนสำคัญคนหนึ่งที่ได้รับการจารึกชื่อลงในหอเกียรติยศของนิตยสารดาวน์บีท แนวการเล่นของเขามีอิทธิพลต่อนักดนตรีแจ๊สรุ่นหลังเป็นจำนวนมาก
บิล อีแวนส์ เคยเป็นสมาชิกของวงเซกซ์เท็ท (วงดนตรี 6 ชิ้น) ของไมล์ส เดวิสในช่วงที่ได้รับความนิยม โดยเป็นชาวผิวขาวเพียงคนเดียวในวง และร่วมบันทึกเสียงในอัลบั้ม Kind of Blue ที่มีชื่อเสียงในปี ค.ศ. 1959 เขาเป็นนักดนตรีแนวหน้าที่พัฒนาการเล่นในสไตล์โมดัลแจ๊ส เช่นเดียวกับไมล์ เดวิส
ในปี 1960 อีแวนส์ตั้งวงทริโอที่ประกอบด้วยเปียโน กลอง และดับเบิลเบส ใช้ชื่อว่า "บิล อีแวนส์ ทริโอ" มีสมาชิกผลัดเปลี่ยนกันหลายชุดจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1980
บิล อีแวนส์มีปัญหาเรื่องสุขภาพ เนื่องการใช้ยาเสพติด เขาเสพทั้งเฮโรอีนและโคเคน จนทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว เขาเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 51 ปี ที่นิวยอร์ก ด้วยโรคไต โรคตับอักเสบและอาการปอดบวม
จอห์น แมคลาฟลิน (หรือ รู้จักในนาม "มหาวิษณุ จอห์น แมคลาฟลิน") นักกีตาร์ นักแต่งเพลงฟิวชันแจ๊ซชาวอังกฤษ มีชื่อเสียงในฐานะผู้ก่อตั้งวงมหาวิษณุออร์เคสตรา เล่นดนตรีในแนวผสมผสานระหว่างดนตรีอิเลกทรอนิก ร็อกและแจ๊ซ โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียมีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1970
แมคลาฟลินเคยมีผลงานร่วมกับไมล์ส เดวิสในช่วงปลายทศวรรษ 1960 โดยร่วมเล่นบันทึกเสียงอัลบั้ม In A Silent Way, Bitches Brew, On The Corner, Big Fun และ A Tribute to Jack Johnson
ในปี 2003 เขาได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารโรลลิงสโตน ให้เป็นนักกีตาร์อันดับ 49 ในการจัดอันดับ 100 นักกีตาร์ยอดเยียมตลอดกาล
ตัวอย่างคนดนตรี Jazz ผู้สร้างสรรค์แห่งยุดใหม่
เคนเนธ บรูซ กอลีลิกซ์ (อังกฤษ: Kenneth Bruce Gorelick) (เกิด: 5 มิถุนายน 1956) รู้จักกันดีในชื่อของ เคนนี จี เป็นนักดนตรีแนวแซ็กโซโฟนชาวอเมริกัน เริ่มประสบความสำเร็จจากอัลบั้มที่ 4 ของเขา "ดูโอ้โทนส์ (Duotones)" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ขายได้ถึง 28 ล้านแผ่น จึงทำให้เขามีชื่อเสียงมากในช่วงปี 1980 ผลงานของ เคนนี จี นับเป็นผลงานทางดนตรีที่ประสบความสำเร็จในยอดขายสูงที่สุดในโลก ด้วยยอดขายทั่วโลกมากกว่า 75 ล้านก็อปปี๊
ในปี 1997 เขาได้รับการบันทึกในกินเนสส์บุ๊ค ว่าเป็นบุคคลที่เล่นโน๊ตแซ็กโซโฟนยาวนานที่สุดในโลก โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Circular breathing เคนนี จี ใช้แซ็กโซโฟน รุ่น E-Flat ซึ่งสามารถทำเวลาได้ถึง 45 นาที กับอีก 47 วินาที บันทึกไว้ที่ งาน เจแอนด์อาร์ มิวสิค เวิร์ด ณ นครนิวยอร์ก ผลงานเพลง ที่มีชื่อเสียงเช่น The Moment, Forever in Love, Song Bird, Endless Love, You're Beautiful, Titanic เป็นต้น โดยปัจจุบันเคนนี จี ใช้แซ็กโซโฟนรุ่น เซลเมอร์ มาร์ก 6 โซปราโน, อัลโต และเทเนอร์ (Selmer Mark VI Soprano, Alto and Tenor Saxophones) นอกจากนี้เขายังไปเพิ่มบางส่วนของ แซ็กโซโฟน เข้าไปด้วย จึงเรียกแซ็กโซโฟนของเขาว่า "แซ็กโซโฟน เคนนี จี
ชาเด อาดู หรือเรียกสั้นๆ ว่า ชาเด (อังกฤษ: Sade Adu) (16 มกราคม ค.ศ. 1959 - ) เป็นนักร้องสาวลูกครึ่งไนจีเรีย-อังกฤษ ที่มีชื่อเสียงจากเพลง Smooth Operator (ใช้ทำนองเดียวกับเพลง "ไม่สายเกินไป" ของเรวัต พุทธินันทน์)
ชาเด อาดู มีชื่อจริงว่า เฮเลน ฟอลาชาเด อาดู เกิดที่ประเทศไนจีเรีย จากบิดาชาวไนจีเรีย และมารดาชาวอังกฤษ เมื่ออายุ 4 ขวบ มารดาแยกทางกับบิดา และเดินทางกลับอังกฤษพร้อมกับชาเดและพี่ชาย
ชาเดเริ่มร้องเพลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 โดยร่วมกับเพื่อนอีก 4 คน ตั้งวงดนตรีชื่อ "ชาเด" มีผลงานทั้งสิ้น 5 อัลบั้ม มีเพลงดัง 2 เพลง คือ "Smooth Operator" และ "The Sweetest Taboo" เธอเคยแสดงภาพยนตร์ ในปี พ.ศ. 2528
แนวดนตรีรากฐานของแจ๊ส
บลูส์ (อังกฤษ: Blues) เป็นรูปแบบของดนตรีประเภทหนึ่ง เกิดจากสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนดำที่หลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกาเพื่อการเป็นทาส สภาพชีวิตที่คับแค้นของพวกเขาได้ถูกนำเสนอผ่านบทเพลงด้วยการร้อง หรือสวดอ้อนวอนในทางศาสนาที่ เป็นท่วงทำนองที่น่าเศร้า อันเป็นเอกลักษณ์ของการร้องและท่วงทำนองที่เกิดจากเครื่องดนตรีที่ไม่มีคุณภาพจากความแร้นแค้น และความรู้ในด้านทฤษฎีดนตรีที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทำให้มีเสียงหรือคอร์ดความเพี้ยนซึ่งต่อมาก็ได้สร้างความแปลกหู จนเป็นลักษณะและเอกลักษณ์เฉพาะ
ลักษณะสำคัญของเพลงบลูส์คือ การใช้เสียงร้อง หรือเสียงของเครื่องดนตรีที่เพี้ยนจากเสียงในบันไดเสียง ซึ่งเรียกกันว่า เบนท์ หรือ บลูโน้ต และการสไลด์เสียง ปกติเพลงบลูส์เป็นเพลงในอัตราจังหวะ 4/4 ใน 1 วรรคจะมี 12 ห้องเพลง การร้องแต่ละวรรคจะมีการอิมโพรไวเซชั่นไปจากทำนองเดิม เช่นเดียวกับการบรรเลงโดยเครื่องดนตรี
ลักษณะเฉพาะของเพลงบลูส์ถูกวางด้วยด้วยรากฐานจากความเจ็บปวดแร้นแค้น ทุกข์ทรมาน ของชีวิต เนื้อเพลง และสำเนียงของบลูส์จึงแฝงความเจ็บปวดคล้ายการสะอึกสะอื้นเวลาร้องให้ จึงใช้แสดงอารมณ์เศร้าได้ดี นอกจากนั้น เรื่องของจังหวะ (rhythm) ของบลูส์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และเป็นแบบแผนนำไปสู่ดนตรีรูปแบบอื่นมากมาย เช่น ฟังค์,โซลฟังค์,ริทึ่ม แอนด์ บลูส์, ร็อก แอนด์ โรลเป็นต้น
ศิลปินในแนวเพลงบูลส์
B.B.King
ไรลีย์ บี.คิง (เกิด 16 กันยายน 1925) เป็นนักแต่งเพลง นักกีตาร์ชาวอเมริกัน ที่รู้จักกันดีในชื่อเล่นว่า "บี.บี. คิง (B.B. King)" เจ้าของฉายา "ราชาเพลงบลูส์" ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร โรลลิงสโตนส์ ในการจัดอันดับนักกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก บี.บี. คิง ได้จัดอยู่อันดับ 6 (โดยที่ก่อนหน้านี้ได้อยู่อันดับ 3) และยังได้จัดอยู่อันดับ 17 ของบริษัท กิบซัน เลส พอล ในหัวข้อ "50 นักกีตาร์ที่ใช้ กีตาร์กิปซัน เลส พอล ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก" และเกียรติสูงสุดของเขาคือ ได้รับการบรรจุในหอเกียรติยศร็อกแอนด์โรลในปี 1987 บี.บี. คิงส์ จึงเป็นต้นแบบของ ศิลปินเพลงบลูส์ หลายๆคน และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อเพลงบลูส์มากที่สุดคนหนึ่งของโลก ปัจจุบันถึงแม้เขาจะอายุ 80 กว่าปีแล้ว ก็ยังคงเล่นกีตาร์ อยู่เหมือนเดิมโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตลอดเส้นทางนักกีตาร์ของเขา ได้แสดงคอนเสิร์ตมามากกว่า 250-300 ครั้ง ต่อปี จนถึงยุคของเขา ในปี 1956 ได้รับการจดบันทึกว่า เขาได้ออกคอนเสิร์ตมาแล้วถึง 342 ครั้งด้วยกัน ปัจจุบันเขาก็ยังคงเล่นกีตาร์ถึง 100 ครั้งต่อปี